สุขภาพดีลดเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

สุขภาพดีลดเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
แชร์

หลอดเลือดหัวใจตีบเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ซึ่งอาจรุนแรงและเป็นต้นเหตุของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือหัวใจล้มเหลว เรียกได้ว่าคืออีกหนึ่งวิกฤติที่เป็นอันตรายถึงชีวิต หากด้วยพฤติกรรมวิถีชีวิตและการบริโภคของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป กำลังเป็นปัจจัยที่สร้างความเสี่ยงด้านสุขภาพและต่อหัวใจของเรา เห็นได้จากสถิติคนไทยในปัจจุบันเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันมากเป็นอันดับต้น ๆ
 

หลอดเลือดหัวใจตีบ

ปกติคนเรามีเส้นเลือดหรือหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดขนาดเล็กที่ส่งเลือดออกจากหัวใจไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งหัวใจ โดยปกติหลอดเลือดขนาดเล็กจะมีขนาดเพียง 2 – 4 มิลลิเมตร หากถูกไขมันเกาะหรือพอกสะสมรวมถึงอาจมีแคลเซียม (Plaque) ไปเกาะทับ  จนทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงจนเลือดไหลผ่านไม่สะดวก หากอยู่ในจุดที่ตีบมาก ๆ หรือไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจได้มากพอก็อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันและภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้


อาการหลอดเลือดหัวใจตีบ

คนไข้ที่มาตรวจและพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ส่วนใหญ่มักมีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก บางรายมีอาการแน่นหน้าอก โดยชี้ตำแหน่งที่ชัดเจนไม่ได้ หรือปวดร้าวไปถึงกรามหรือแขน โดยเฉพาะซีกซ้าย บางรายมีอาการหายใจไม่เต็มอิ่ม (Shortness of Breathing) เหนื่อยง่าย ออกกำลังกายแล้วเหนื่อยผิดปกติหรือเจ็บหน้าอกมากขึ้น บางคนอยู่ ๆ ก็ออกกำลังกายได้น้อยลง เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่า อาจมีอาการเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ สำหรับบางคนอาจไม่มีอาการชัดเจนแบบนี้ก็ได้ แต่มาด้วยอาการจุกแน่นลิ้นปี่ก็มี บางคนมาด้วยอาการจุกตรงคอหรือปวดกรามก็มี


ปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ

หนึ่งในปัจจัยที่เป็นต้นเหตุทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจมีอาการตีบหรือตัน คือการมีไขมันในเส้นเลือดสูง ปกติร่างกายมีไขมัน 2 ชนิด คือ ไขมันดี (HDL) และไขมันเลว (LDL) หรือคอเลสเตอรอล ไขมันดีมีหน้าที่ช่วยลดการเกาะพอกที่ผนังเส้นเลือด ส่วนไขมันเลวคือการเพิ่มโอกาสเกาะหรือพอกมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคนี้ควรมีไขมันดีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของไขมันเลวเพื่อป้องกันไม่ให้โอกาสตีบซ้ำหรือตีบมากขึ้น

ขณะที่ความดันโลหิตสูง รวมถึงโรคอย่างเบาหวาน การสูบบุหรี่ และความเครียด ตลอดจนน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานรวมถึงชีพจรล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เส้นเลือดตีบเร็วขึ้นได้ทั้งหมดเช่นกัน หากหัวใจเต้นเร็วแสดงว่าหัวใจต้องการเลือดและอาหารไปเลี้ยงค่อนข้างมาก ดังนั้นหัวใจควรเต้นช้าเพื่อใช้พลังงานจากอาหารและเลือดน้อยลง สำหรับในคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ชีพจรจะค่อนข้างช้าที่ 60 – 70 และความดันไม่สูงเกินไป คือ ควรอยู่ในระหว่าง 120 – 140 แต่ไม่ควรเกิน 150 เพื่อลดแรงกระแทกจนเกิดแผลที่ผนังของเลือด


ตรวจรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบ

ในกระบวนการตรวจหาโรคและการรักษา ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการแพทย์ที่หลากหลาย ซึ่งขึ้นอยู่กับความสถานการณ์ของผู้ป่วย การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) อาจใช้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น แต่ในการตรวจระดับที่ลึกลงไปแล้ว สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การวิ่งสายพาน การทำอัลตราซาวนด์หัวใจ (Exercise Stress Echo) ซึ่งเป็นการใช้คลื่นสะท้อนความถี่สูง สำหรับคนไข้วิ่งบนสายพานไม่ไหว แพทย์จะใช้วิธีที่เรียกว่า Dobutamine Echocardiogram เป็นการฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือด ซึ่งเป็นการกระตุ้นหัวใจที่เลียนแบบการวิ่งบนสายพาน นอกจากนี้ยังมีการตรวจโดยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ ส่วนวิธีการสวนหัวใจหรือฉีดสี ถือเป็นการตรวจที่ให้ผลชัดเจนที่สุด สามารถดูว่าเส้นเลือดไหนตีบมากน้อยเพียงใดเพื่อนำมาหาแนวทางการรักษาต่อไป

โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีอาการโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันอย่างมีนัยสำคัญจะต้องตีบอย่างน้อย 50 – 60% ขึ้นไป ถ้าน้อยกว่านั้นถือว่ามีการตีบ แต่เลือดยังไปเลี้ยงหัวใจพอก็จะรักษาด้วยการให้ยา ในด้านทางการรักษา หากเส้นเลือดหัวใจตีบไม่มาก แต่ทดสอบสมรรถภาพหัวใจแล้วผลออกมาเนกาทีฟ คือเลือดยังไปเลี้ยงหัวใจพอ กลุ่มนี้สามารถรักษาได้โดยทานยาป้องกันเกล็ดเลือดแข็งตัว และควบคุมปัจจัยเสี่ยง ส่วนการรักษาโดยการทำบอลลูนหรือถ่างขยายเส้นเลือด พร้อมใส่ขดลวด จะใช้สำหรับกลุ่มที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบที่มีนัยสำคัญ (มากกว่า 60 – 70%)


ผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจตีบ

การผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจตีบจะทำเมื่อเส้นเลือดตีบมาก ๆ หลาย ๆ เส้น หรือตีบที่ขั้วเส้นเลือดบางตำแหน่ง อาจใช้การรักษาโดยบอลลูนหรือขดลวดถ่างขยายได้ ทั้งนี้ต้องอยู่ที่การประเมินของแพทย์ทำบอลลูนและแพทย์ที่ฉีดสีว่ามีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากน้อยแค่ไหน ไม่เช่นนั้นต้องเลือกวิธีการผ่าตัดแทน

ในด้านการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการทำบายพาส มี 2 เทคนิคที่นิยมคือ การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ แบบต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (On – Pump CABG) เพื่อหยุดการทำงานของหัวใจทั้งหมด และการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ โดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off – Pump CABG) หรือที่เรียกว่าเทคนิคผ่าตัดแบบไม่ต้องหยุดหัวใจ ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือพิเศษ Stabilizer เพื่อทำการหยุดนิ่งเฉพาะที่จุดที่ทำต่อเส้นเลือดเท่านั้น

จากรายงานวิชาการในต่างประเทศ มีสถิติในสหรัฐอเมริกาพบว่า การผ่าตัดโดยไม่หยุดหัวใจเหมาะกับกลุ่มผู้ป่วยที่มีอัตราการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจไม่ดี ไตทำงานไม่ดี และคนไข้กลุ่มสูงอายุ หรือมีเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบหรือเคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ขณะที่การทำผ่าตัดโดยใช้ปอดและหัวใจเทียมหยุดหัวใจทั้งหมด ต้องให้ยาละลายลิ่มเลือดมากกว่า 3 เท่า เพราะฉะนั้นจะมีโอกาสเสียเลือดและให้เลือดมากกว่า ซึ่งที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพทำเทคนิคผ่าตัดแบบไม่หยุดหัวใจมาพันกว่าราย

แม้เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่ทำการรักษาหรือผ่าตัดไปแล้วก็สามารถรักษาและยืดอายุได้อีกนับสิบปี หากระมัดระวังดูแลสุขภาพตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด สิ่งสำคัญคือหลังการรักษาหรือผ่าตัดแล้วต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย ปลา ผัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยให้ความดันลดลงและชีพจรเต้นช้าลง ทำให้ไขมันตัวดีเพิ่มขึ้น ไม่เครียด ไม่สูบบุหรี่ และคุมโรคประจำตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโอกาสเป็นใหม่อีกหรือช้าลง

แชร์

สอบถามเพิ่มเติมที่

ชั้น 2 โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
เปิดให้บริการ ทุกวัน เวลา 07.00 – 16.00 น.
info@bangkokhospital.com